สนุก สร้างสุขภาพ และเสริมทักษะ ประโยชน์ของการเล่นฟุตบอล สำหรับลูกมีมากกว่าที่คิด

เริ่มโดย asider8629, เม.ย 01, 2024, 07:21 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

asider8629

ฟุตบอล กีฬามหาชนของคนทุกวัยโดยเฉพาะหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ทั้งหลาย หากบ้านไหนมีลูกชายเชื่อว่าคุณพ่อคงหมายมั่นปั้นมืออยากจะเตะบอลเล่นกับเจ้าตัวเล็กอย่างแน่นอน ซึ่งนอกจากจะได้ใช้เวลาร่วมกันแล้ว ฟุตบอลยังมีประโยชน์ต่อลูกมากกว่าที่คิด   

ประโยชน์ของการเล่นฟุตบอล
เสริมสร้างสุขภาพร่างกายของลูกรักให้แข็งแรง
ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อ เนื่องจากการเล่นฟุตบอลต้องใช้กล้ามเนื้อทุกส่วน โดยกล้ามเนื้อช่วงบนใช้เพื่อคอยกันไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามเข้ามาแย่งบอล ในขณะเดียวกันก็ต้องใช้กล้ามเนื้อช่วงล่างในการวิ่ง กระโดด และเตะบอล
เสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก เนื่องจากฟุตบอลเป็นกีฬากลางแจ้งจึงทำให้ร่างกายของลูกได้รับวิตามินดีจากแสงแดด รวมทั้งการวิ่งและกระโดดบ่อย ๆ ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก ลดความเสี่ยงต่อภาวะโรคกระดูกพรุนได้     
ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ต้องขยับร่างกายตลอดเวลาโดยหากเล่นเป็นประจำจะช่วยเพิ่มค่าความสามารถในการใช้ออกซิเจน (Aerobic Capacity) ทำให้มีภูมิต้านทานต่อโรคมากขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคภูมิแพ้และหอบหืด ทั้งยังส่งผลต่อความแข็งแรงของระบบหัวใจและหลอดเลือด
ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญทำให้ร่างกายดึงพลังงานมาใช้ดีขึ้น ช่วยลดภาวะโรคอ้วนในเด็ก
เสริมสร้างพัฒนาการทางด้านจิตใจ อารมณ์ และสังคม 
ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ช่วยคลายเครียดได้ดี โดยหากเล่นเป็นประจำร่างกายจะหลั่งเอ็นโดรฟินหรือฮอร์โมนแห่งความสุขออกมา ลูกจะรู้สึกผ่อนคลายมีอารมณ์แจ่มใสเบิกบาน ฟุตบอลยังช่วยเสริมสร้างความมั่นใจ ฝึกน้ำใจนักกีฬา เพิ่มทักษะการปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง ได้เรียนรู้การทำงานเป็นทีม และการเข้าสังคมกับเพื่อนใหม่
เสริมสร้างพัฒนาการทางด้านสมอง
ประโยชน์ของฟุตบอล อีกประการคือได้ฝึกสมาธิไปในตัว เนื่องจากต้องจดจ่ออยู่กับเกม การเล่น และลูกบอลเท่านั้น ทั้งยังได้ฝึกไหวพริบและทักษะการวางแผนด้วย

จะเห็นได้ว่า ประโยชน์ของกีฬาฟุตบอล มีอยู่รอบด้านจึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะให้ลูกรักได้เรียนรู้ เด็กสามารถเล่นฟุตบอลได้ตั้งแต่อายุ 3 - 5 ขวบ เพราะเป็นช่วงวัยที่เรียนรู้ง่ายและเคลื่อนไหวร่างกายได้คล่อง ทั้งเดิน วิ่ง กระโดด หรือหยิบจับสิ่งของ ซึ่งเบื้องต้นนั้นคุณพ่อคุณแม่อาจจะ สอนเตะบอล แบบง่าย ๆ ให้ลูกด้วยฟุตบอลขนาดเล็กที่เตะแล้วไม่เจ็บเท้าจากนั้นค่อยพัฒนาไปตามวัย 

การสอน วิธีการเดาะบอล แบบพื้นฐานให้ลูกนั้นไม่จำเป็นต้องอ้างอิงทฤษฏีหรือเทคนิคการฝึกซ้อมขั้นเทพแบบที่นักกีฬามืออาชีพใช้กันซึ่งจะทำให้เด็กเบื่อมากกว่าสนุก เบื้องต้นควรสอนเตะบอลให้เด็กคุ้นชินกับลูกฟุตบอลด้วยการสัมผัสบ่อย ๆ เสียก่อน อาจจะเล่นเตะฟุตบอลกันหน้าบ้าน เตะบอลรับส่งกันไปเรื่อย ๆ หรือเตะอัดกำแพงเบา ๆ จากนั้นจึงค่อยเพิ่มทักษะการเล่น เช่น การเลี้ยงบอล การยิงประตู และวิธีการเดาะบอล

แนะเทคนิคการสอน วิธีเตะบอลให้แรง 
ต้องกำหนดทิศทางการยืนให้แม่นยำ เนื่องจากการเตะบอลให้แรงเพื่อยิงประตูนั้นผู้เล่นควรยืนห่างลูกบอลไปทางด้านหลังประมาณ 2 เมตร ในแนวทแยง 45 องศา โดยหากถนัดเท้าขวาให้ยืนทแยงไปทางซ้าย หากถนัดเท้าซ้ายให้ยืนทแยงไปทางขวา
เมื่อจัดท่าทางการยืนเรียบร้อยแล้วต่อไปคือการวิ่งเข้าไปเตะบอล ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ความเร็วเพราะอาจจะเสียจังหวะการทรงตัวและทำให้ตำแหน่งการวางเท้าคลาดเคลื่อนได้ แต่ควรวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปจนถึงบอล จากนั้นวางเท้าด้านที่ไม่ถนัดข้างลูกบอลและกะตำแหน่งให้อยู่บริเวณกึ่งกลางห่างจากลูกบอลประมาณ 1 คืบ ง้างเท้าที่ถนัดให้ได้มากที่สุดแล้วเหวี่ยงมาด้านหน้าด้วยความเร็ว เกร็งน่องเพื่อให้บริเวณหลังเท้าสัมผัสกึ่งกลางลูกบอลอย่างเต็มแรง พร้อมทั้งเอนตัวและกางแขนด้านที่ไม่ถนัด เช่น ยิงบอลด้วยเท้าขวาก็ต้องเอนตัวและกางแขนไปทางซ้าย เป็นต้น เมื่อเตะลูกบอลออกไปแล้วจะลอยโด่งหรือเลียดติดพื้น ขึ้นอยู่กับองศาการกดหลังเท้า
 
แนะเทคนิคการสอนวิธี เดาะบอล ให้คล่อง
การเดาะลูกฟุตบอลทำได้หลายแบบทั้งใช้เท้า หน้าขา ศีรษะ หัวเข่า และหัวไหล่ ยกตัวอย่างเช่นการเดาะลูกฟุตบอลสลับเท้าทำได้โดยปล่อยลูกบอลให้เด้งลงพื้นแล้วค่อยใช้เท้าขวาเตะให้ลอยขึ้นไปตรง ๆ ด้วยความสูงไม่เกินระดับเอว เมื่อบอลตกลงมาก็ให้เตะขึ้นไปอีกครั้งด้วยเท้าซ้าย การเตะเบา ๆ จะช่วยให้ควบคุมบอลได้ดี หากเตะครบสองข้างแล้วใช้มือจับลูกบอลทันที ปรับตำแหน่งการยืนหรือเคลื่อนไหวไปรอบ ๆ ก่อนจะปล่อยบอลแล้วเตะสลับอีกครั้ง จากนั้นค่อยเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้สามารถเดาะลูกบอลด้วยเท้าทั้งสองข้างได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ตกพื้น ตามอ่านยทความ เดาะบอล ต่อได้ที่ https://www.milo.co.th/all-blog/ประโยชน์ของการเล่นฟุตบอล

สอนเตะบอลหรือเดาะบอลเป็นพื้นฐานของการเล่นฟุตบอลซึ่งผู้ปกครองสามารถใช้เวลาว่างสอนลูกที่บ้านได้ เนื่องจากสิ่งสำคัญคือการฝึกฝนทักษะอย่างสม่ำเสมอ หากลูกสนุกกับกีฬาชนิดนี้และคุณพ่อคุณแม่มองเห็นแววในการพัฒนาศักยภาพต่อไปได้อย่าพลาดที่จะให้การสนับสนุนความสามารถของลูกนะคะ